วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนกันเป็นเปลี่ยนกันตาย

ทักทายสบายใจกันอีกรอบครับ
กล่าวคำว่า สวัสดีครับ
มีความสุข  กินข้าวอิ่ม นอนหลับ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สุขกายสุขใจ มีเงินใช้หนี้สินลด หากใครยังไม่ลดก็อดเอาโต๋แล้ว  
ช่วง   เล่า จากเพื่อน จะมีอะไรมาให้ดู อย่าลืมติดตามอ่านนะครับ
    
        มีคนสงสัยว่าบล็อกนี้ มีวัตถุประสงค์อะไร?  ตอบครับ  ผมก็ไม่รู้?????
  คือว่านึกเรื่องอะไรออกผมก็เขียน (เพราะฉะนั้น คนอ่านนึกอยากอ่านก็อ่าน ไม่อยากอ่านก็ข้ามไป)
         23 สิงหาคม 2558  ได้มีโอกาศไปร่วมงานศพแบบไม่ได้ต้ังใจ  งานนี้มีชอบใจมาก( แต่ไม่ที่สุด)  เพราะชอบบรรยากาศการจัดงานศพแบบนี้ (บ้าเปล่า?) ไม่บ้าครับ           ผมอยากจัดงานศพแบบนี้ครับง่ายๆๆและพีธี ไม่ต้อง  เรื่องการจัดการเรื่องศพของผมเขียนกำหนดไว้หมดแล้วว่าถ้าผมเสียชีวิต ไม่ต้องจัดงาน ไม่ต้องบอกใครเอาที่รู้ๆก็พอ 



       
   

      
      
        เรื่องการจัดการเรื่องศพผม    ทุกอย่างผมบันทึกส่งไฟล์ไปในemailของลูกหมดแล้ว  แต่emailยังไม่ถูกเปิดอ่านนะเพราะผมส่งไปตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด คือเตรียมการนานแล้ว เรื่องหลังความตายเป็นเรื่องที่พูดยาก  แต่ช่วงเรื่องชีวิตก่อนจะตายนี่สิ ต้องวางแผนให้ดี ว่าก่อนตายจะทำอะไรบ้าง ช่วงอายุเท่าไหร่ทำอะไรบ้าง แต่ท่านผู้อ่านคงวางแผนและเป้าหมายไว้แล้วหละ    มีคนสงสัยเรื่องอีเมลล์  คือว่าอีเมลล์ ผมเป็นคนสมัครให้ลูกเองครับ มีสองคนก็สมัครให้สองคน  แต่ยังไม่เปิดอ่านครับเพราะตอนนี้ลูกยังไม่โต   เมื่อถึงเวลาผมก็บอกpassword เมล์ของลูก  ให้เขาอ่านข้อความต่างๆๆที่ผมส่งไปเมื่ออดีตครับ  ตอนที่ส่งก็คล้ายกับว่าผมส่งไปในอนาคต.

....เรื่องการจัดการเรื่องศพของผมเขียนไว้หมดแล้วว่าไม่ต้องจัดงาน
                        ไม่ต้องบอกใคร"""""เอาที่รู้ๆก็พอ...........
  
,,, เรื่องที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นเพราะอะไร โชคชะตาฟ้าลิขิตรึ  เปล่า!!การกระทำของเราในอดีตที่ผ่านมางัย มันส่งผลมาถึงปัจจุบัน ใครที่มีหนี้เยอะ ก็เป็นเพราะอดีตที่ไม่รู้จักใช้เงิน   ใช้ชีวิตอย่างประมาท คิดว่าตัวเองจะหาเงินได้ตลอดรึ สุขภาพดีตลอดรึ บ้างคนก็บอกว่าเกิดมาแล้วต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม  คุ้มจริงไหมกับสิ่งที่เราทำ คิดว่ามันคุ้มต้องคิดให้ดี  แต่หลายคนที่อ่านก็คงจะมีแนวทาง ของตัวเอง คิดว่าแนวทางนี้มันจะนำพาเราไปสู่ความสุข พูดมากก็หาว่าเราสอน (ความรู้แค่หางอึ่ง)
   
 60ปี เกษียณอายุ คือ ไม่ต้องทำงาน สำหรับข้าราชการ หรืองานอื่นๆ
เมื่อเกษียณแล้วบางคนต้องทำงานต่อเพราะรายได้ไม่พอหรือเงินบำเน็จบำนาญ ไม่พอใช้จ่าย 
  แต่ถ้าเราเกษียณเร็วกว่านี้ได้ไหม ? สักอายุ 30ปี 35หรือ 45 ในช่วงอายุเท่านี้น่าจะดีน่ะ  มันก็สามารถทำได้  คือ ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ ตลอด อยากทำอะไร อยากเที่ยวที่ไหน ทำตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
  ก็ให้ทรัพย์สินทำงานแทนเราสิ!!!  ถ้ายังงั้นเราก็ต้องสร้างทรัพย์สินให้มากพอ ที่เมื่อเราหยุดทำงาน ทรัพย์สินที่เราสร้างไว้ มันจะสร้างเงินให้เราตลอด ถึงแม้เราหยุดทำงานเราก็มีเงินใช้  (passive income)
   แล้วทรัพย์สินที่มันสร้างเงินให้เรามีอะไรบ้างละ  ที่เราใช้เวลาสัก 3ปี 4ปี 5ปี หรือ  10ปี  สร้างมันขึ้นมา  หลังจากนั้นเราก็หยุดทำ
แล้วทรัพย์สินที่เราสร้าง  มันจะทำเงินให้เรา  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
โอเคๆ !! ไปหาอ่านเอาเอง....

              อย่าเป็นคนเชื่อคนง่ายสิ  ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าใน

กาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย
หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ
 
เป็นหลักตัดสิน คือ 
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

  ในสิ่งที่ผมว่าไปนั้น อย่าพึ่งเชื่อนะครับ  อาจจะไม่ใช่ก็ได้   แต่มันก็ไม่ผิด  ขึ้นอยู่กับเรา  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ

..............เปลี่ยนกันเป็น...เปลี่ยนกันตาย......น้อชีวิต





Your life does not get better by chances, It gets better by CHANGE.      jim Rohn
 .... ชีวิตคุณไม่ได้ดีขึ้นเพราะรอให้เรื่องบังเอิญเข้ามา
แต่มันดีขึ้นได้เพราะคุณกล้าเปลี่ยนแปลง.....
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


ช่วง
เล่า จากเพื่อน  โทมัส เกาะช้าง

               The Sunnyday in the greenseason,White Sand Beach.Whatever situation in Bangkok or Thailand,here Koh Chang still strong charming.Welcome...~ ~ / Thomas ..Koh Chang

Credit pictures to../ขอบคุณภาพสวย ๆ จาก ...Arm Jesada Tharat 
                                             มาทำความรู้จักหาดทรายขาวกันให้ชัด ๆ
นอกจากธรรมชาติที่เสกสรรค์ปั้นแต่งให้เม็ดทรายที่สุดจะขาว เม็ดเล็กละเอียดแล้ว ความลาดเอียงของหาด ร่มไม้ที่ทอดกิ่งก้าน ร่มเงา บังแดด บังลม รวมถึงทำเล มุม จังหวะ เวลาการตั้งร้านอาหารหน้าหาด ที่พัก โรงแรม และที่สำคัญ ไม่มีร่ม โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องเล่น เรือยนต์ ที่เป็นมลพิษ ทั้งทางสายตา และสิ่งแวดล้อม
นั่นคือความลงตัวที่ทำให้น่าเดินเที่ยว น่าเล่นน้ำ หรือแม้แต่นั่งพักผ่อน ชมบรรยากาศ ดื่ม กิน สังสรรค์ ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่า นี่คือหาดทรายที่สวยงาม ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่ง ของเกาะช้าง และสามารถเทียบได้กับอีกหลาย ๆ หาดของฝั่งทะเล เกาะ แก่ง น้อยใหญ่ ทั่วเมืองไทยเลยก็ว่าได้
ถ้าเป็นเช่นนั้น คงไม่เกินไปนัก ถ้าลองคิดไปว่า หรือจะขึ้นชื่อระดับโลกเลยได้มั้ย เพราะนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ต่างก็มุ่งหน้ามายังเกาะช้าง และแน่นอน ต้องมาเที่ยวชม พักผ่อน พักอาศัย อยู่ที่หาดทรายขาว ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อบางคนมาแล้วก็มาอีก มาหลาย ๆ รอบ ก็มี เหล่านี้พอจะสรุปได้มั้ยว่า หาดทรายขาว สวยงาม และโด่งดังมากแค่ไหน..!
ทั้งหมดนี้คือ คุณค่า คุณภาพและความงามของหาดทรายขาว
อยากจะบอกว่า นี่คือหาดสาธารณะ ที่ทุกคนสามารถมาใช้ได้ อย่างไม่ต้องเก้อเขิน แม้จะไม่ได้พักอยู่ในโรงแรม รีสอร์ทบนหาดนี้ นักท่องเที่ยว ส่วนมากก็ขับรถ นั่งสองแถว หาเช่ามอร์ไซค์ เดินทางมาชื่นชมความงาม มาดื่ม กิน เที่ยว สนุก บันเทิง และช๊อปปิ้ง จับจ่ายกันที่นี่ แทบทุกคน หากอยู่เกาะช้างหลายวัน อย่างน้อย ต้องมีซักมื้อ ซักช่วงเวลาหนึ่งมาที่นี่แน่ ๆ
หรือพูดได้ว่า ถ้ามาเกาะช้างแล้ว ไม่ได้มาเดินเที่ยวหาดทรายขาว ท่านจะต้องได้มาใหม่อีกหลายรอบแน่ ๆ หรือถ้ามาแล้ว ก็ต้องอยากมาอีก เพราะเป็นที่ ๆ ไม่ควรพลาด ด้วยประการทั้งปวง...

นอกเหนือจากภาพสวย ๆ หน้าหาดแล้ว ด้านบนสองข้างทาง ยังมีร้านค้าขายของ ทั้งเสื้อผ้า ของฝาก อุปกรณ์เล่นน้ำทะเล อุปกรณ์ดำน้ำ ร้านอาหาร ร้านนวดไทย เค้าเตอร์ทัวร์ ให้เลือกซื้อท่องเที่ยว กิจกรรมกันภายในเกาะ และเกาะข้างเคียง อีกเยอะแยะมากมาย
ถามถึงมุมบันเทิง มุมชิล ๆ กับบรรยากาศ ทั้งนั่งกิน ดื่ม หรือฟังเพลงสด ๆ วงไทย วงเทศ แม้แต่จะสนุก ๆ สไตล์ปาร์ตี้ก็มี บาร์หรือร้านอาหารเล็ก ใหญ่ ริมหาดทราย หรือสองข้างทาง มีให้เลือกนั่งแล้วแต่ถูกใจ แม้แต่มุมบาร์เบียร์ แบบเล็ก ๆ คลายเหงาได้ทั้งพี่ไทย ลุงฝรั่งก็มี ไม่ถือว่าอึกทึกครึกโครมมากมาย จนเสียภาพแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มีบ้างก็ดี เพื่อสีสรรค์และพอให้ได้เลือกที่จะชิล ๆ
ตกเย็น แดดอ่อน ๆ บ้างก็รอชมพระอาทิตย์หล่นทะเล หรือบ้างอยากจะเดินหาอะไรหิ้ว ติดมือ แล้วชิมโน่นนิดนี่หน่อย ระยะสองร้อยเมตรริมฟุตบาท ใจกลางหาดทรายขาว ก็มีร้านรวง สารพัดของกิน ราคากันเอง ๆ ทะเลสดย่าง ผลไม้ ขนมหวาน แกงถุง น้ำปั่น ก๋วยเตี๋ยว หมูปิ้ง ไก่ย่าง สารพัดพอสมควร บางทีก็ถึงกะอิ่มได้เลยทีเดียว...
ส่วนของที่พัก มีทั้งโรงแรม รีสอร์ท บังกาโล เกสท์เฮ้าส์ มีตั้งแต่ 350 บาท ถึงหมื่นบาท ทั้งห้องพัดลม และห้องที่ครบทุกอย่าง มีทั้งห้องที่มองเห็นวิวทะเลตรงหน้า หรือจะพักแบบเงียบ ๆ วิวภูเขา แล้วพอเดินออกมาข้ามถนนค่อยเป็นทะเลและผู้คน มีหลากหลายให้เลือกที่จะพัก...
ราคาอาหาร และเครื่องดื่ม ไม่ถือว่าแตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปมากนัก แต่ที่ต้องยินดีบวกให้ คือความเป็นเกาะ ที่ต้นทุนอาจสูงขึ้นนิด ๆ เพราะการเดินทางของวัตถุดิบบางอย่าง แต่รับรองว่าสมน้ำสมเนื้อแน่นอน ที่สำคัญแหล่งของทะเลอย่างเกาะช้าง รับรองว่าสด สะอาด บอกได้เลยว่าบางอย่างหากินยากที่บนฝั่ง แต่ที่เกาะมีให้ชิมกัน ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ข้าวผัด 35 - 40 - 50 - 60 บาท มีให้หาทานได้ที่เกาะช้างแน่นอน. 





     แต่ถ้าบวกค่า ทำเล วิว บรรยากาศ และอย่างอื่นประกอบ เรา ๆ ท่าน ๆ ก็พร้อมที่จะบวกราคาให้อยู่แล้ว      ซึ่งเป็นปกติวิสัย..

ทั้งหลายทั้งปวง ที่ได้พรรณามานี้ คือ ความเป็นหาดทรายขาว ของเกาะช้าง ดินแดนอันเป็นเกาะกลางทะเล หาดทรายสวย น้ำทะเลใส ป่าไม้เขียวขจี บรรยากาศดี ชื่อเสียงโด่งดัง ที่นี่..ยังรอการมาเยือนนักเดินทาง นักท่องเที่ยวตลอดเวลา แม้แต่ในฤดูฝน หรือสภาวะ      การณ์บ้านเมืองใด ๆ ก็ตาม ... ยินดีต้อนรับ เสมอ..
                                                  /โทมัส เกาะช้าง


















   

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตตกต่ำ

ชีวิตตกต่ำ จริงหรือ??


เซน เมธาสิทธิ์ เซน




   บางท่านอยากมีชีวิตที่อิสระ อยากท่องเที่ยว  อยากทำในสิ่งที่รัก       ที่ชอบ อยากช่วยเหลือสังคม อยากๆๆๆ
อยากทำโน้นทำนี่   บางท่านไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้มีรถขับ บางท่านทำงานแทบตาย มีเงินฝากในธนาคาร 89บาท !!! (มันเหลือ)
หรือว่ายังทำไม่มากพอ  ?ชีวิตมีความแตกต่าง อะไร?ทำให้แตกต่าง ความคิด! การศึกษา!หรือการงาน
...เงินไม่สำคัญ  แต่ไอ้ที่ตอนสำคัญที่ไม่มีจะใช้ นั้นหล่ะ สำคัญ

ไม่มีเงินเหลือในบัญชี ไม่มีเงินในกระเป๋ามันว่างเปล่า โอ้ฉันมันแสนลำบากชีวิต รถจะถูกยึด ค่าหยูกค่ายา ค่าบ้าน ค่าโน้นค่านี้ค่าน้ำค่าไฟ คิดแล้วปวดหัว   ค่าใช้จ่ายเพิ่มๆๆ โอ๊ยๆๆๆๆ  ธุระกิจไปไม่รอด (เจ๊ง)  คิดๆๆๆๆบ่นๆๆๆ  ทำอย่างไงถึงจะมีเงินเยอะๆๆ   คิดสั้นอยากตาย!!!! NO!!ๆๆๆๆ ไม่ใช้ทางออก  ทางออกไม่มีทางเดียว มีหลายทาง  พักกายพักใจ หลับตา เถอะนะคนดี  ++ สติมาปัญญาเกิด

   ชีวิตตกต่ำจริงหรือ?
คำตอบอยู่ที่  ตัวเราเอง
                                        ขอบคุณ pklifez  youtube 

"An Arrow can only be shot by pulling it backward.
So when life is dragging you with difficulties,
it means that it's going to launch you into something great.
So just focus,and keep aiming."

"ลูกธนูถูกยิงด้วยการง้างมาข้างหลัง  เมื่อชีวิตฉุดให้ฉันถอยหลัง ด้วยอุปสรรคมากมาย มันก็แปลว่าชีวิตกำลังจะผลักให้ฉันไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉนั้นต้องมุ่งมั้น ไปอย่างมีจุดหมายต่อไป.......
  เจอกันใหม่ครั้งต่อไปครับ QRU
เข้าไปดูเว็บข้างล่างนี้นะครับ ลองศึกษา เปิดใจ รับเรื่องใหม่ๆๆ
คลิก เว็บ1
คลิก เว็บ2






เที่ยว วัดม่วง  ผลพวงจากมะนาว











 “พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ที่วัดม่วง ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
หน้าตักกว้างถึง ๖๗ เมตร (เข่าซ้ายถึงเข่าขวา) และสูงถึง ๙๒ เมตร (มีขนาดหน้าตัก ๑ ไร่ ๙ วา สูงเท่าตึกประมาณ ๓๕ ชั้น) สร้างนานถึง ๒๕ปีเต็ม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อุปถัมภ์พุทธศาสนา
นอกจากนี้ยังมีจุดอื่นๆที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงกลีบบัว ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก และวิหารกระจก ภายในมีรูปปั้นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศ รวมทั้ง แดนเทพเจ้า แดนนรก แดนสวรรค์ และมีรูปปั้นแสดงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามไทย-พม่าอยู่ด้วยวัดม่วงเจริญธรรมตั้งอยู่ริมถนนสายวิเศษชัยชาญ-สุพรรณบุรีห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๕ กิโลเมตร
เดิมเป็นวัดร้าง ซึ่งต่อมามีพระธุดงค์มาพัก นำศรัทธาความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น จนสามารถพัฒนาให้เจริญงดงามได้อย่างน่ายกย่อง มีการสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประมาณปี พ.ศ.๒๓๖๕ โดยแต่เดิมมีต้นมะม่วงอยู่มาก จึงเรียกว่า “วัดม่วง”
พระปลัดวินัยจ้าอาวาสวัดม่วง เล่าว่า เดิมทีวัดแห่งนี้เป็นวัดร้างมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรือง จากนั้นก็โดนพม่าเผาทำลายเหมือนวัดอื่นใน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงถูกปล่อยร้างเรื่อยมา
จนกระทั่ง หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ อดีตเจ้าอาวาส ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่วัดแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๒๕ ขณะนั้นมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงองค์เดียวคือ หลวงปู่ขาว ซึ่งตั้งอยู่บนเนินดินเล็กๆ (ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่ในวิหารแก้ว)
เดิมวัดแห่งนี้มีพื้นที่เพียง๗ ไร่ ๓๐ ตารางวาเท่านั้น ด้วยแรงศรัทธาของญาติโยม ประกอบกับการเป็นพระนักพัฒนาของ หลวงพ่อเกษม โดยเริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ จากนั้นปี พ.ศ.๒๕๒๙ ได้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอุโบสถ ระหว่างนี้มีการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัดมากมาย เช่น ดินแดนแห่งเทพเจ้า แดนนรก แดนสวรรค์ เป็นต้น
ส่วนวิหารแก้วนั้น สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ นอกจากนี้ หลวงพ่อเกษม ยังซื้อที่ดินเพิ่ม ขยายอาณาเขตออกไปรวมเป็นที่ดินวัด ๖๘ ไร่
แนวความคิดในการสร้างวัดของหลวงพ่อเกษมคือ วัดทั่วไปส่วนใหญ่มีแต่เขตสังฆาวาสเท่านั้น (ที่อยู่ของพระสงฆ์) ส่วนเขตพุทธาวาสไม่ค่อยมี เช่น แดนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า รวมทั้งแดนนรกสวรรค์ ดังนั้นท่านจึงสร้างเขตพุทธาวาสขึ้นมา เมื่อญาติโยมเข้ามาไหว้พระที่วัดโดยทั่วไป จะมีพระสงฆ์คอยชี้ทางธรรม
แต่ ที่วัดแห่งนี้ไม่ต้องบอก เพราะสามารถเรียนรู้ธรรมจากการเข้าไปชมแดนพุทธาวาส

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตคือการต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย

 ใจร้อนใช้ไหม?++++ คลิก+++
 ชีวิตคือการต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย
  กับเวลาที่เหลืออยู่  ของเราบางคนเหลือเวลาเยอะ  บางท่านเหลือเวลาน้อย  แต่ยังดีที่มีเวลาเหลืออยู่
    เพื่อ  อิสระภาพทางการเงิน  อิสระภาพของเวลา
สุขภาพ  เท่ากับ ความสุข.......
ดูหน้าผู้เขียนสิ  จะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้... เอ้าว่ากันไป  เวลาที่ผ่านมาคงจะเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ไม่ดี มันเป็นบทเรียนที่ราคาแพง.....(บ่นเล็กน้อย)วันนี้เรื่องราวจากเพื่อน โทมัสแหว    เขาเอาควายมาฝาก..ติดตามกันต่อไป

 ชีวิตคือการต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย
หัวข้อคิดดีๆๆจากกวีชาวอินเดีย Rabindranath Tagore กวีอินเดีย
........การหัดเดินหัดว่ายน้ำ ต้องอาศัยความมานะบากบั่น ของตัวเราเอง คนอื่นทำแทนไม่ได้ การต่อสู้ชีวิตก็เช่นกัน เราต้องเงยหน้าขึ้นไปข้างหน้าอย่างองอาจทรนง ต้องต่อสู้ ต้องพึ่งลำแข้งของตัวเอง จึงจะหลุดพ้นจากห้วงความทุกข์ยาก ผงาดกายอยู่ในสังคมได้อย่างอาจหาญ  
   ความสำเร็จมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่แลกมาด้วย ความมานะบากบั่น ถ้าไม่ลงเรี่ยวลงแรง ก็ไม่มีผลให้เก็บเกี่ยว ไม่รดน้ำพรวนดิน ดอกไม้ย่อมไม่ผลิดอกออกผลแบ่งบานให้เราได้ชื่นชม มีแต่คนที่กล้าสู้ กล้าชนะเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ           ต่อสู้ ต่อสู้ต่อไป จึงเป็นหลักสัจธรรมแห่งชีวิตเรา  เพื่อให้ได้มา ซึ่งอิสรภาพทางการเงิน เวลา สุขภาพ และความสุข passive income
ฟังเพลงให้เพราะ https://www.youtube.com/watch?v=w7Q0Jnnz4Iw&list=PLe9-CtgzNEKZ1REuFXgne7Eec5x-cPthv
     
http://www.งานทําที่บ้าน.ws/methasit
..ช่วงที่ 2 ของรายการ   ว่าไป  ช่วงเรื่องเล่าจากเพื่อน  
                               โทมัส แหว
"Thai Buffalorism."
"ควาย"การท่องเที่ยว
สมัยเรียนในห้องท่องเที่ยว ที่มหาวิทยาลัย
อาจารย์ท่านเล่าว่า ไกด์ทัวร์จะต้องมองหาความเป็นไทยให้เจอ แล้วสิ่งนั้นแหละจะมีค่าที่ลูกทัวร์อยากรู้ และไกด์ คือผู้ที่ต้องถ่ายทอดให้เขาเข้าใจ
แล้วท่านอาจารย์ก็ยกตัวอย่าง บางเรื่อง เพื่อประกอบ เรื่องนั้นคือเรื่อง ไกด์เหลือบเห็นชาวนา กำลังดำนา ก็จอดรถ พาแขกลงทุ่ง ไปดำนา กับชาวนา ไปอธิบาย เล่าเรื่องให้ลูกทัวร์ฟัง
หลายเรื่องที่มีความเป็นไทย ทั้งฝังและแฝง ไว้ในเรื่องหรือสิ่งนั้น ๆ
ถ้าตรง ๆ ก็ได้แก่ มารยาทไทย ประเพณีไทย การแต่งกาย การอยู่การกิน เป็นต้น สิ่งนี้คือ "ฝัง" ไว้ในความเป็นไทยอยู่แล้ว
แต่ที่ "แฝง" ไว้นี่สิ ที่ต้องอาศัยความรอบรู้ ช่างคิด ช่างเล่า ช่างรู้ ของผู้เป็นไกด์นำเที่ยว
"ควาย" แฝงไว้ ในความไทยอย่างไร นะหรือ? ต้องร่ายมาตั้งแต่ ข้าว นา ชาวนา และมาสู่ควาย ต้องนำรู้ให้ได้ตั้งแต่กาลก่อน ชีวิตของชาวนาเป็นอย่างไร และต้องนำเสนอภาพของชาวนาในปัจจุบันให้ลูกทัวร์เห็นด้วย ทั้งในแง่มุมของวิถีชีวิต และเศรษฐกิจ เพื่อนึกให้ได้ว่า การพัฒนา ไปสู่ทิศทางไหน เร็ว ช้า มากน้อยแค่ไหน
วันนี้ ความเป็นจริงแล้ว ควาย นับวันจะหาดูยากเข้าไปทุกที
มีใช้งานจริงตามธรรมนอง ที่ควรจะเป็นนั้น แทบจะพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีแล้ว.

"ใคร ที่ยังใช้ควายไถนา ?"
ใช้จริง ๆ เลี้ยงจริง ๆ เพื่อให้เขาทำหน้าที่ของสัตว์ตัวนี้ที่เขาเป็น จริง ๆ
คือช่วยชาวนาทำนา
ถามคำถามนี้ไป แล้วรอให้ใคร โปรดยกมือขึ้น. ท่านว่าท่านต้องถามบ่อยครั้งแค่ไหน หรือรอนานแค่ไหน หรือถามใครที่ไหน กว่าที่ท่านจะได้คำตอบ..!
เพราะไม่มีแล้วไงครับ. !
แต่การท่องเที่ยว จำเป็นต้องมีครับ เพราะเรื่องราว แม้จะนานแค่ไหน ที่เรื่องนั้นจบไปแล้ว ในมุมของงานทัวร์ งานไกด์ ต้องนำมาพูด มากล่าว มาเล่าให้ฟัง คำนั้น คล้าย ๆ กับคำว่า "ประวัติศาสตร์" นี่เองแหละครับ
วันนี้ งานทัวร์ของเรา ยังจำเป็นต้องมีควาย เป็น "พระเอกข้างทุ่ง" อยู่อย่างนี้ อีกต่อไป
แม้จะทำได้ไม่มาก แต่ก็คงจะไม่น้อยในแง่ของคุณภาพทัวร์ ที่เราต้องนำเสนอ สู่สายตาของการท่องเที่ยว
แม้จะหาดูได้ยากแล้ว ภาพ "ควาย" กับ "นาข้าว" อยู่ด้วยกัน แต่เราก็ต้องเสาะแสวงหา
ฝากถามไถ่ ทุกท่านว่า ช่วยผมตามหา"ควายไถนา" ทีเถอะ ใครเห็นที่ไหน แจ้งผมทีเถอะ แล้วผมจะไปดู ดูเพื่อสนองอะไรบางอย่างในตัวเอง
เพื่อจะได้อิน (inside) ให้ลึกถึงหัวใจแห่งไกด์ ในแนวทางนี้
ขอแสดงความห่วงใยไปถึงชีวิตทุกชีวิต และหน้าที่ของทุกตัว ที่ยังคงอยู่ ในทำนองคลองการณ์ที่ควรจะเป็น "ควาย"
...แม่ริม เชียงใหม่  โทมัส แหว
กรกฎา 58










วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อิสระภาพการเงิน เวลา สุขภาพ ความสุข

ทำไม?ผมจึงต้องตั้งหัวข้อ  (สนใจที่จะเปิดใจงาน ออนไลน์ คลิก)

อิสระภาพทางการเงิน (passive income)

เวลา

สุขภาพ

ความสุข 

เพราะทุกอย่างสอดคล้องกันครับ
บางท่าน มีเงินแต่ไม่มีเวลา สุขภาพไม่ดี ก็ไม่มีความสุข

บางท่านมีเวลา สุขภาพดี แต่ไม่มีตังค์  มีความสุขไหม?

    คำว่ามีเวลานี้ผมหมายถึง มีเวลาเป็นของตัวเองน่ะ

มีเวลาเที่ยวท่อง  มีเวลาอยู่กับครอบครัว   บางคนมีเงินเยอะแต่ไม่มีเวลาเป็นของตัว เอง  คือต้องทำงานตลอด  ยังนี้ก็แย่รวมไปถึงเรื่องสุขภาพด้วยนะ

....เพราะยังงี้ ถึงต้องมี    อิสระภาพการเงิน เวลา สุขภาพ ความสุข ....

  http://www.งานทําที่บ้าน.ws/methasit

 

 

 เรื่องราวจากเพื่อน โทมัส แหว

"ข้าวเหนียวห่อนั้นของแม่"
เสียงเอี๊ยดออด เตียงไม้ ที่คลอบด้วยมุ้งสี่สาย พร้อมเสียงติ๊ดตี๊ด เหมือนนาฬิกาปลุกถ่านไฟมันอ่อน สักพัก เสียงกระแอมเหมือนคอแห้งมาทั้งคืน หมาดคอ และเสียงเดินเท้าเบา ๆ ช้า ๆ คล้ายว่าคนชราเอียดโอย บนกระเบื้องแผ่นเรียบ สาก ๆ เล็กน้อย เพราะเม็ดฝุ่นที่หลงเหลือ
อีกมุ้งหนึ่งที่อยู่ข้าง ก็รู้สึกตัว เพราะมุ้งแรกเป็นโจทก์ หมาดคอใส่กัน เพื่อให้รู้ว่ารู้ตัวแล้ว ไม้งั้นจะถูกปลุก เหมือนตอนที่ยังเด็ก
เสียงไม้กวาดก้านมะพร้าวกับฝาบ้านที่เป็นไม้ เรียงกันแบบโบราณ ..ตัง ๆ ... "สายแล้ว ๆ ตื่น ๆ ไปโรงเรียน" เสียงกวาดลานดินข้างบ้านสลับมาซักระยะอันไม่นานก็มีเสียงไม้กวาดกระทบฝาบ้าน อีกเป็นถี่ ๆ ในรอบที่สองและที่สาม จนเด็กน้อยวัย สิบสามสิบสี่ปี รำคาญไปเอง และตอบสนองด้วยการงัวเงีย ลงมาอาบน้ำ เตรียมตัวไปเรียน ถือว่าเป็นการปลุกที่ได้ประสิทธิภาพ ที่มีมาตรฐาน ชาวบ้านข้าง ๆ ต้องได้ยินประจำ
แต่คืนนี้ เด็กน้อยคนนั้นโต จนมีลูกมีเมีย และวันนี้เขามาคนเดียว มานอนข้าง ๆ มุ้งแม่ อันที่จริงแล้วมีหมอนสองใบ บนเตียงนั้น แต่เขามองไม่เห็นเพราะเมื่อคืนกลับดึกไปนิด แถมมึนน้ำเมามาหน่อย ถ้าเขารู้ว่ามีหมอน เขาคงมักง่ายไปนอนตรงนั้นข้าง ๆ แม่แล้วเป็นแน่แท้. แต่ก็ไม่แน่ใจอีกประเด็น ว่าเพราะกลัวแม่เหม็นเหล้ารึเปล่า เลยใช้ใจคิดทั้งที่มึน ๆ ว่า เกรงใจท่าน..
ผู้เป็นแม่พูดเสียงสั่น ๆ ตามความชรา ของหญิงวัยเจ็ดสิบบ่าย ๆ
"แม่สินึ่งข้าวให้ ห่อเอาไว้ไปกินนำทาง ก่อนเด้อ จั่งค่อยไป" สำเนียงลาว-ไทหล่มสัก ของแท้ พูดไปเดินไปไม่สนใจที่ต้องฟังคำตอบรับใด เพราะแกตั้งใจจะทำจริง ๆ
ฝ่ายลูกชาย ร้องทักกลับไป "โอ้ย อี่แหม่ บ่ต้องลำบากนึ่งเด้อแหม่" ต้องอธิบายต่อ "แวะกินข้างทาง สะดวก แป๊บเดียว บ่ยุ่งยาก ดีอีก" ผู้เป็นแม่ยังเดินดุ่ม ๆ ออกนอกเรือนใหญ่
แสงไฟหลอดแสงนวลขาว ถ้ามองมาจากห้องน้ำที่อยู่หลังบ้าน จะเห็นแสงไฟ ลอดผ่าน ร้านค้าของชำ ที่ชาวบ้านเรียกกันเล่น ๆ ว่า "เซเว่น บ้านนอก" แม้จะไม่ได้เปิดทำการ 24 ชั่วโมง ดั่งในเมืองเขา แต่เรียกเมื่อไหร่ก็ต้องลุก
ภายในแสงไฟสลัวตอนตีสี่จะครึ่ง
ภาพควันไฟจากเตาฟืนไม้แห้ง โขมง โฉงเฉง สีควันออกฟ้า ๆ ลอยฟุ้ง ส่งกลิ่นควันหอมไม้ป่า ลอยมายังเจ้าของสายตา ที่ยืนมองอยู่จากหน้าห้องน้ำ ในความเงียบ ไฟสลัว กับสายตาที่แอบจ้องมอง
ภาพนี้เมื่อ 25 ปี 30 ปีก่อน ก็เป็นแบบนี้ วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม จะผิดกว่าก่อน คงจะความชราของแม่นั่นเอง สีหงอกของเส้นผม
เอื้องเดิน ช้า ๆ แต่อย่างไงก็ยังใช่ ภาพนั้นจริง ๆ
เก็บข้าวของ ใส่เสื้อผ้า จัดเตรียมรถรา เพื่อจะเดินทาง ปลายทางยังคงอีกไกลโข
แต่ก็เอาเถอะ อย่างไรก็ต้องไป เพราะที่นั่น ยังมีอะไรที่รออยู่ อีกมากมาย
แคร่ไม้หน้าบ้าน หน้าร้านค้า
กระด้งตอกเตี่ยวไม้ไผ่สาน ที่เรียกว่า "บมส่วยข้าว" ขันน้ำน้อย ๆ วาง พร้อมกับ "ไม้ส่วยข้าว" วางอยู่พร้อมสรรพ ผู้เป็นแม่ งุ่นง่านอยู่กับการหาถุง อะไรสักอย่างในร้าน แล้วเอามาวางข้าง ๆ บนแคร่
"แม่สิปี้นข้าว รอบึดหนึ่ง สิส่วยแล้วห่อให้ กินกับม่ำ(คนหล่มสักออกเสียงเรียกต่างกันกับคนอีสาน) กับส้มหมูเด๋อ" ยืนมองลูกชาย พร้อมกับเดินไปที่เตาไฟ ทำอย่างที่พูดไว้
ในใจไม่ปฏิเสธที่จะรับอีกแล้ว ที่แว๊บมา คือคำพูดของเพื่อนรักคนหนึ่ง
"ลูกกลับไปบ้าน แม้แม่จะทุกข์ ลำบากที่จะทำกับข้าวหาอาหาร หาของฝากให้ลูก แต่เชื่อเถอะนั่นคือความสุขของเขา ปล่อยแกทำไปเถอะ" ผู้เป็นลูกชาย ก็ปล่อยให้แม่ทำ แต่ก็จ้องมอง นั่งคุยเรื่องเก่า ๆ ไปพลาง ๆ
ผู้เป็นแม่ หยิบอัดถุงข้าว ที่อัดแน่นสองถุง
มองด้วยตาแล้ว ถุงละครึ่งกิโลแน่ ๆ แต่สี่ห่อใบตอง นั่นคือ "ฮัดยางวงสีเหลือง
นี่คือม่ำ ยางวงสีแดงนี่ส้มหมูเด้อ อย่างละสองห่อ" แล้วยื่นให้
ลูกชายยกมือขึ้นหัว เหมือนบอกว่าขอบคุณแม่
แล้วขยับเข้าใกล้ โอบกอด ในขณะที่แม่ไม่ได้ตั้งตัว
ตบหลังแม่เอา ๆ รัดแรงเป็นจังหวะ ๆ คางแนบไหล่ แนบคอแม่ ใจอยากจะกอดนาน ๆ แต่แค่ไม่ให้แม่อึดอัด ก็คงจะพอดี และแม่รับรู้อะไรได้แล้วหละ...
"เดินทางดี ๆ ปลอดภัย ขับรถขับรา ระมัดระวัง...."คำอวยพรของแม่ไหลพรั่งพรูมาเป็นชุด ประหนึ่งว่าไม่ได้พูดกับลูกชาย แต่คล้าย ๆ แกจะคุยกับเทวดา ที่อยู่แถว ๆ นั้น ฝากให้เทวดาดูแลแทน...
จากตีห้า ถึงแปดโมงเช้า เบาะหน้าข้างคนขับ คือห่อใบตอง และถุงข้าว ถูกมองแล้วมองอีก ใจคิดถึงภาพเมื่อเช้า คิดถึงภาพเมื่อยังเด็ก..
คนเดียว เดินลัดทุ่ง จากหมู่บ้าน ลิบ ๆ คือโรงเรียนที่อยู่บนเนินเล็ก ๆ นั่น...
เด็กน้อยสิบขวบ ตัวเล็ก หัวเกรียน เสื้อชุดนักเรียนสีขาวหม่น กางเกงกากี รอบเอวยุ้มรัด บ่งบอกว่ามันหลวม แบบมือสอง..
รองเท้าแตะ สะพายแล่งถุงผ้า ในนั้นคือหนังสือเก่าของพี่ ๆ ที่เรียนแล้วเมื่อปีกลาย ที่ตกทอด
และห่อข้าว กล่องอะลูมิเนียมบาง ๆ สีขาวตะกั่ว
มีหูขดลวดรัดล๊อคหัวท้าย สองช่องภายในคือข้าวเหนียวนึ่ง
ส่วนช่องเล็กนั้น กับข้าวของแห้ง สลับสับเปลี่ยนกันไปทุกวัน แม้จะไม่ซ้ำเมนูวันต่อวัน แต่ก็วนซ้ำกันเดิม ๆ ในสัปดาห์ถัดไป
ไข่ต้ม คือความถี่ที่สุด
ส้ม ม่ำ ปลาเกลือเค็มปิ้ง เขียดปิ้ง ปลาหลดปิ้ง ปลาเข็ง หมกปลาซิว หมกอี่ฮวก ปลาหวาน ปลาทูเค็ม นาน ๆ คือแจ่ว แต่ต้องมีอีกกล่องหนึ่งที่มีผักมาให้ แยกกัน
เหล่านี้ ติดตาตรึงใจ "ห่อข้าวของแม่" มีมานานนม กว่า 30 ปีมาแล้ว
ที่ต้องเดินทางข้ามทุ่งมาคนเดียวเพราะ "พวงกุญแจ" ที่ติดมากะเอว ใครมีพวงนี้ ต้องมาก่อนใคร ๆ มาก่อนคุณครู ก่อนเพื่อน ๆ และน้อง ๆ นักเรียนด้วยกัน
แม้จะมีครูแค่สี่คน แต่คุณครูบ้านก็อยู่ไกล มาย่อมสายกว่านักเรียนเป็นธรรมดา
มาก่อนใครเพื่อเปิดประตูห้องเรียนทุกห้อง เปิดหน้าต่างไว้รอทุกคน นี่คือหน้าที่ ต้องทำทุกวัน ที่ได้รับเกียรติ อันพิเศษกว่าใคร ๆ ในฐานะพี่ ป.4 ในฐานะ หัวหน้านักเรียน ทั้ง 44 คนของโรงเรียนแห่งนี้ "โรงเรียนบ้านร่องคูใต้"
ห่อข้าวถูกหยิบมาวางเบาะกลางข้างคนขับ
ชลอความเร็ว ขับชิดซ้าย แต่ไม่ได้หยุดรถ ยังคงขับไปเรื่อย... ด้วยความบังเอิญ ในบรรยากาศเพลงเพื่อชีวิตซึ้งกินใจหลายเพลงของปู พงสิทธิ์ คำภีร์ พอดิบพอดี
เปิดห่อใบตอง ม่ำ และส้มหมู ข้าวหนึ่งถุง นี่คือชุดแรกตามคำบอกของแม่ กินด้วยมือซ้าย ขับมือขวา ใจล่องลอยตามเนื้อเพลง ...
ความลงตัวของข้าวเหนียวครึ่งกิโล กับของในห่อใบตองสองห่อนั้น มันพอดี หมดพร้อม ๆ กัน อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ตอนที่แม่ห่อให้ ในใจเขาจะทักว่าข้าวมันเยอะไปอยู่แล้วเชียว คิดว่ากินข้าวไม่หมดแน่ ๆ
แต่นั่นคือแม่ ย่อมรู้ว่าลูกกินข้าวเหนียวอย่างไง ม่ำหมู ถึงจะห่อเล็กก็จริง แต่กินกับข้าวได้ปริมาณเยอะ อย่างไม่น่าเชื่อ
ผู้เป็นลูกบอกว่ากินข้าวเหนียว จะลำบากในรถ และเสียเวลา
จอดกินข้าวข้างทางจะเร็วกว่า เพราะต้องการทำเวลา ด้วยระยะทาง กว่า 700 กิโลเมตร ที่ต้องขับ
ผิดคาดอย่างถนัด เป็นไปอย่างที่แม่ทำให้นี่แหละคือคำตอบที่ใช่ที่สุด
แล้วอีกชุดหนึ่ง นั่นหมายถึงมื้อกลางวันอีกมื้อ แม่ก็ยังจัดมาให้เผื่อไว้ ซึ่งคงไม่ได้คาดหมายว่าจะกินซ้ำกับมื้อเช้า...
บนถนนหนทาง ในซุปเปอร์ไฮเวย์ เส้นมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี เส้นทางทอดยาว มุ่งหน้ายังจุดหมายปลายทาง..
บ่ายโมงครึ่ง "ห่อข้าวของแม่" ก็ถูกหยิบมาวางข้าง ๆ ใกล้กับเบาะคนขับ อีกครั้ง ...โทมัส แหว